วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

พลานามัยด้านร่างกาย
1. จงออกห่างจากอันตรายต่าง ๆ
อิส ลามแนวทางอันบริสุทธิ์ ได้วางกฎเกณฑ์ไว้เพื่อเป็นการสนับสนุนสุขภาพและอนามัยของมนุษย์ เช่น อิสลามห้ามรับประทานเลือด ซากสัตว์ เนื้อสัตว์บางประเภทและอาหารที่เป็นพิษต่อร่างกาย ห้ามดื่มของมึนเมาทุกประเภท น้ำที่ไม่สะอาดหรือดื่มน้ำมากจนเกินไปจนเป็นอันตรายต่อร่างกาย และคำสั่งห้ามอื่น ๆ อีกมากมายดังที่ระบุอยู่ในหนังสือริซาละฮ (ตำราที่ว่าด้วยกฎเกณฑ์การปฏิบัติ)
2. จงรักษาความสะอาด
ความ สะอาด ถือว่าเป็นหนึ่งในคำสอนที่มีความสำคัญยิ่งของอิสลามเกี่ยวกับเรื่องอนามัย อิสลามได้ให้ความสำคัญไว้อย่างมาก โดยสามารถกล่าวได้ว่า ไม่มีแนวทางใดให้ความสำคัญยิ่งไปกว่าอิสลาม
ท่าน ศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) กล่าวว่า "ความสะอาดเป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธา" ซึ่งคำกล่าวของท่านศาสดาย่อมเป็นสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่า อิสลามได้ให้ความยิ่งใหญ่และให้ความสำคัญยิ่งต่อความสะอาดจริง
ท่าน อิมามมูซากาซิม (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ได้กล่าวแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการอาบน้ำไว้ดังนี้ว่า "การอาบน้ำทุกวันจะทำให้ร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์"
ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) กล่าวว่า "การอาบน้ำทุกวันช่วยให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง"
อิส ลาม นอกจากจะเน้นหนักความสะอาดส่วนรวมแล้ว ยังเน้นหนักในเรื่องของส่วนตัวอีกต่างหาก เช่น แนะนำว่าต้องหมั่นดูแลตัดเล็บมือเล็บเท้าอยู่เสมอ ต้องตัดผมและขนในที่ต่าง ๆ ให้สะอาดหมดจด ต้องหวีผมให้เรียบร้อย ต้องแปรงฟันทุกวัน ต้องล้างมือก่อนและหลังจากรับประทานอาหารทุกครั้ง ต้องล้างรูจมูกวันละหลาย ๆ ครั้ง ต้องเก็บกวาดเช็ดถูบ้านเป็นประจำ หมั่นรักษาความสะอาดทางเดินเข้าบ้าน ประตูบ้านและใต้ต้นไม้ที่ปลูกในบริเวณบ้าน
นอก จากนี้ อิสลามยังได้เน้นความสะอาดเกี่ยวกับหลักการศาสนาโดยตรง เช่น ร่างการและข้าวของเครื่องใช้ในการแสดงความเคารพภักดีต่อพระเจ้า (อุปกรณ์ประกอบการนมัสการต่อพระผู้เป็นเจ้า) ต้องสะอาดอยู่เสมอ เช่น ต้องรักษาร่างกายและเสื้อผ้าให้สะอาดจากสิ่งโสโครก (นะญิซต่าง ๆ ) ต้องวุฎูอวันละหลายครั้งเพื่อทำนมาซ ต้องฆุสล (อาบน้ำตามหลักศาสนาหลังจากหมดรอบเดือนหรือหลังจากการร่วมหลับนอนกับภรรยา) เพื่อนมาซ และถือศีลอด ซึ่งวุฎูอและฆุสลนั้นจะต้องให้น้ำถูกผิวหนังด้วย ถ้ามีคราบไขมันหรือสิ่งอื่นอันเป็นอุปสรรคกีดขวางน้ำมิให้ถูกผิวหนังจะต้อง ขจัดออกก่อน ฉะนั้น จะเห็นว่าสิ่งที่อิสลามเน้น คือ ให้มุสลิมรักษาร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ
3. จงรักษาความสะอาดเสื้อผ้า
เรื่อง การรักษาความสะอาดเสื้อผ้าอาภรณ์ได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มแรกของการประกาศ อิสลาม ดังจะเห็นได้จากโองการ อัล-กุรอานที่ประทานลงมาในช่วงต้น ๆ ของการแต่งตั้งศาสดา ได้กำชับเรื่องการทำความสะอาดเสื้อผ้าไว้ดังนี้ "ส่วนเสื้อผ้าของเจ้านั้น เจ้าจงทำความสะอาดเสมอ " (อัล-กุรอาน บท อัล-มุดดัซซิร โองการที่่ 4)
การ รักษาเสื้อผ้าให้สะอาดขณะนมาซ หมายถึง เป็นข้อบังคับ (วาญิบ) ในทางบทบัญญัติอิสลาม แต่อย่างไรก็ตาม อิสลามถือว่าการรักษาเสื้อผ้าอาภรณ์ให้สะอาดอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นสิ่งที่ดีสมควรปฏิบัติเสมอ บรรดาอิมามผู้บริสุทธิ์ได้กล่าวแนะนำไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยอ้างจากคำพูดของท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) ที่ว่า "การสวมใส่เสื้อผ้า ต้องสวมใส่เฉพาะเสื้อผ้าที่สะอาดเท่านั้น"
อิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) กล่าวว่า "การซักเสื้อผ้าให้สะอาดจะช่วยขจัดความทุกข์โศกและเป็นเหตุให้นมาซถูกยอมรับ"
รายงาน จากท่านอิมามซอดิกและท่านอิมามมูซากาซิม (ขอความสันติพึงมีแด่ทานทั้งสอง) ว่า "การมีเสื้อผ้าหลายชุด เพื่อสับเปลี่ยนเวลาสวมใส่ ไม่ถือว่าเป็นการฟุ่มเฟือย"
นอก เหนือจากเสื้อผ้าต้องสะอาดแล้ว ยังต้องมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และดูดีเมื่อเวลาสวมใส่ โดยเฉพาะเวลาที่จะออกไปพบปะกับผู้คน หรือแขกผู้มาเยือนต้องสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุด และมีความสง่างามเมื่อยามพบเห็น
ท่าน อิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) กล่าว่า "จงสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม และจงตบแต่งตัวเองให้สวยงาม เพราะอัลลอฮ (มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์) ทรงเป็นผู้สง่างาม และทรงรักผู้ที่มีความสง่างาม แต่ต้องเป็นที่อนุมัติ" หลังจากนั้นท่านอิมาม (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ได้อ่านโองการนี้
"จง บอกซิว่า ใครกล้าที่จะวางกฎห้ามเครื่องประดับของอัลลอฮ ซึ่งพระองค์ไดทรงนำออกมาให้แก่ข้าทาสขอพระองค์" (อัล-กุุรอาน บท อัล-อะอรอฟ โองการที่ 32)
4. จงบ้วนปากและแปรงฟัน
ปาก เป็นเหมือนกับโรงงานย่อยอาหารเล็ก ๆ ที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารในระดับหนึ่ง และเนื่องจากว่าอาหารต้องผ่านไปทางปากจึงทำให้ปากสกปรกมีเศษอาหารติดอยู่ตาม ซอกฟันและในที่ต่างๆ ของปาก เป็นเหตุทำให้เกิดแบคทีเรียและมีกลิ่นปาก และบางคนต้องหายใจทางปาก ดังนั้นถ้าปากมีกลิ่นเหม็นเท่ากับเป็นการทำลายบรรยากาศและสร้างความรบกวนแก่ ผู้อื่น
ท่าน ศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) กล่าวว่า "ถ้าฉันไม่เกรงว่ามันจะเป็นความยากลำบากสำหรับบรรดามุสลิมแล้วละก็ ฉันจะกำหนดให้การแปรงฟันเป็นสิ่งจำเป็น (วาญิบ) สำหรับพวกเขา" ในบางครั้งท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) ได้กล่าวว่า "ญิบรออีลได้แนะนำเรื่องการแปรงฟันตลอดเวลา ซึ่งในบางครั้งฉันคิดว่าหลังจากนี้ต่อไปคงเป็นข้อบังคับ (วาญิบ)"
5. จงล้างจมูก
การ หายใจเป็นความจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน อากาศที่หายใจเข้าไปมีความแตกต่างกัน เพราะสถานที่อยู่อาศัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาศัยอยู่แถบที่มีฝุ่นละอองมากหนาแน่น มีอากาศไม่บริสุทธิ์ หรือมีมลภาวะเป็นพิศ การหายใจเอาอากาศจำพวกนี้เข้าไปมาก ๆ มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ อัลลอฮ (มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์) พระผู้ทรงสร้างมนุษย์ทรงมีความปรีชาญาณ พระองค์ได้สร้างระบบป้องกันเบื้องต้นให้กับมนุษย์ โดยให้มีขนขึ้นในรูจมูกเพื่อกลั่นกรองฝุ่นละอองมิให้เข้าไปถึงปอดไดง่าย เมื่อเวลามนุษย์หายใจเข้าไป ในบางครั้งจึงพบว่า ภายในรูจมูกจะมีฝุ่นละอองจับตัวกันอยู่เป็นก้อน ด้วยเหตุนี้เอง อิสลามจึงมีคำสั่งแก่บรรดามุสลิมทั้งหลายว่า ในวันหนึ่ง ๆ ก่อนวุฎูอต้องล้างจมูกเสียก่อน ซึ่งการล้างจมูกด้วยน้ำสะอาดเป็นการช่วยรักษาระบบทางเดินหายใจ
พลานามัยของจิตวิญญาณ
1. การขัดเกลาจิตวิญญาณ
ธรรมชาติ โดยทั่วไปของมนุษย์ คือ ชอบผู้ที่มีมารยาทดีงาม มีความประพฤติเรียบร้อย และมักจะเอาใจใส่ต่อความดีงามเหล่านั้นทั้งส่วนตัวและสังคม ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ค่อยพบเห็นผู้มีมารยาทดีงาม แต่ไม่มีผู้ให้ความเคารพหรือเกรงใจ
ความ ใส่ใจของมนุษย์ต่อมารยาทอันดีงามถือเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ส่วนคำแนะนำของอิสลามเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นที่ชัดเจน เนื่องจากผู้ให้การอบรมสั่งสอนมารยาทในอิสลาม คือ ท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) ซึ่งจวบจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีบุคคลใดสามารถค้นหาข้อบกพร่อง หรือความผิดพลาดของท่านได้แม้แต่นิดเดียว อัลลอฮ (มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์) ตรัสว่า
"ขอ สาบานกับดวงจิต (และพระเจ้า) ผู้ซึ่งได้สร้างมันขึ้นมาและหลังจากนั้น ทรงดลให้เขารู้ถึงความดีและความชั่วทั้งหลาย แน่นอน คนที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่ขัดเขลาจิตใจ และผู้ที่ขาดทุน คือ ผู้ที่สั่งสมความชั่ว" (อัล-กุรอาน บท อัชชัมช โองการที่ 10)
ท่าน อิมามซอดิก (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ได้กล่าวอธิบายโองการข้างต้นว่า  "แท้จริงอัลลอฮ (มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์) ทรงตรัสอย่างชัดเจนแก่มนุษย์ทั้งปวงว่า : พวกท่านจงปฏิบัติการงานที่ดี และละเว้นการงานที่ไม่ดี
2. การศึกษาหาความรู้
คุณสมบัติประการหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับของคนโดยทั่วไป คือ ความรู้ ซึ่งความประเสริฐของความรู้มีอยู่เหนือความโง่เขลาทั้งหลาย
อาจกล่าว ได้ว่า อิสลามเป็นศาสนาเดียวที่ให้การสนับสนุนการแสวงหาความรู้มากกว่าศาสนาอื่น และมากกว่าทุก ๆ การปกครองทั้งในระบบเก่าและระบบใหม่ อิสลามถือว่าการแสวงหาความรู้นั้นเป็นรากฐานอันสำคัญของสังคมที่มีอารยธรรม ที่ดีงาม และเรียกสังคมที่มีการศึกษาว่าเป็นสังคมที่มีชีวิต ในทางกลับกัน เรียกสังคมที่ปราศจากการศึกษาและมีความล้าหลังว่าเป็นสังคมที่ตายแล้ว และเป็นสังคมของอนารยชน ด้วยเหตุนี้ อิสลามจึงได้กำหนดว่า การแสวงหาความรู้เป็นข้อบังคับ (วาญิบ) ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย และเกี่ยวกับเรื่องการแสวงหาความรู้นี้ ท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) และอิมามท่านอื่น ๆ ได้มีคำสั่งกำชับไว้อย่างมากมาย เช่น
ท่าน ศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) ได้กล่าวว่า "การแสวงหาความรู้เป็นวาญิบ (ข้อบังคับ) สำหรับมุสลิมทุกคน" ซึ่งความรู้ในความหมายของท่านศาสดาตามที่กล่าวมานั้น หมายถึง ความรู้ของทุกแขนง มิได้เฉพาะเจาะจงเฉพาะศาสตร์แขนงใดแขนงหนึ่ง หรือเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น และในการแสวงหาความรู้ไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
ท่าน ศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) ได้กล่าวอีกว่า "การแสวงหาความรู้เป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคน แน่แท้ อัลลอฮ (มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์) ทรงรักผู้แสวงหาความรู้"
ท่าน อิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ผู้นำของบรรดาผู้ศรัทธา กล่าวว่า "โอ้ประชากรทั้งหลาย พึงรู้ไว้เถิดว่าวุฒิภาวะของศาสนานั้นตั้งอยู่บนการแสวงหาความรู้และนำไปสู่ การปฏิบัติ แท้จริงการแสวงหาความรู้เป็นข้อบังคับสำหรับท่านมากกว่าความพยายามในการแสวง หาเครื่องยังชีพ สำหรับเครื่องยังชีพของท่านได้ถูกจัดสรรและค้ำประกันโดยองค์แห่งความ ยุติธรรม และจะถูกนำมาให้แก่ท่านอย่างแน่นอน ความรู้ถูกเก็บรักษาไว้กับเจ้าของมันและท่านถูกบัญชาให้แสวงหามันจากพวกเขา"
ท่าน อิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) กล่าวอีกว่า "หลายคนอ้างถึงความรู้ แต่น้อยคนนักที่จะจำใส่ใจ ของขวัญที่สมบูรณ์ที่สุดของพระเจ้าคือ ให้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนความรู้"
"มีคนโง่จำนวนมากมายที่ทำให้ผู้รู้เกิดความกลัวอย่างมาก"
"ผู้รู้ย่อมเข้าใจในความเขลา เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยมีความเขลามาก่อน"
"ผู้มีความเขลาย่อมไม่เข้าใจในผู้รู้ เพราะเขามิได้เคยเรียนรู้ด้วยตนเอง"
"ผู้รู้ย่อมมีชีวิตอยู่ท่ามกลางมวลชนที่โง่เขลา"
"ความรู้ให้ชีวิตแก่วิญญาณ"
"ความรู้ (ในพระเจ้า) เพียงเล็กน้อยย่อมทำลายความประพฤติ"
"ไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้ชีวิตบริสุทธิ์ได้ เว้นแต่แสงสว่างที่แท้จริง"
"การให้ความเคารพต่อผู้รู้ คือการเคารพพระผู้เป็นเจ้า"
"ความรู้ย่อมก่อกำเนิดความยำเกรงต่อพระผู้เป็นเจ้า"
"การฝึกฝนตนในการปฏิบัติ ทำให้ความรู้เกิดความสมบูรณ์"
ท่านอิมาม ญะอฟัร อัซซอดิก (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ได้กล่าวถึงเรื่องการแสวงหาความรู้ไว้ว่า
"เป็น หน้าที่ของท่านต่อการเข้าใจเป็นอย่างดีในศาสนาของอัลลอฮ (มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่พระองค์) ดังนั้น จงอย่าเป็นเยี่ยงบุคคลที่ระหกระเหินกลางทะเลทราย ในวันแห่งการตัดสิน อัลลอฮ จะไม่เหลียวแลพวกเขา ผู้ซึ่งมิได้ทำความเข้าใจต่อศาสนาของพระองค์ และจะไม่ทรงเพิ่มน้ำหนักใด ๆ เลยต่อการกระทำของพวกเขา"
"บรรดา นักปราชญ์ คือ ทายาทของบรรดาศาสดา สำหรับท่านศาสดามิได้ทิ้งไว้ซึ่งความมั่งมีทางทรัพย์สมบัติ แต่ทว่าท่านได้ละทิ้งไว้ซึ่งจารีตประเพณี และผู้ใดก็ตามรับมันไว้เขาจะเป็นผู้มั่งมี แต่พึงระวังไว้ว่า ท่านได้รับมันจากใคร แท้จริงในทุก  ๆ ยุคสมัยย่อมมีผู้ยุติธรรมคนหนึ่งจากพวกเรา ครอบครัวของท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) จะเป็นผู้คุ้มครองศาสนาให้พ้นจากความบิดเบือนที่บ้าคลั่ง นักโกหกที่ชอบขโมยความคิดของผู้อื่น และนักตีความไร้สาระ"
"บุคคล ที่แสวงหาความรู้แล้วนำไปปฏิบัติและสั่งสอนคนอื่น ๆ เพื่อพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะยกเขาขึ้นสู่สถานภาพที่ศักดิ์สิทธิ์และกล่าวว่า : เจ้าเรียนเพื่ออัลลอฮ ปฏิบัติเพื่ออัลลอฮและอบรมสั่งสอนผู้อื่นเพื่อพระองค์"
ผู้รู้คือผู้ปฏิบัติเพื่อส่งเสริมคำพูดของเขา"
"การสนทนากับนักปราชญ์บนกองขยะ ย่อมดีกว่าการสนทนากับคนเขลาบนพรมชั้นดี"
"จง ระวังสองสิ่งที่ทำลายมนุษย์ การใช้ทัศนะทางคดีความในเรื่องที่เป็นความนึกเอาเดาว่า และผูกติดอยู่กับบางสิ่งด้วยความเชื่อ (ในศาสนา) โดยปราศจากความรู้"
"ความตายของบุคคลผู้ไร้ศรัทธา มิได้ทำให้ซาตานมารร้ายยินดีเหมือนกับนักปราชญ์คนหนึ่ง"
ฉะนั้น การแสวงหาความรู้จึงเป็นสุดยอดของการขวนขวายและพากเพียรทั้งหลาย อิสลามถือว่าเป็นภาระของทุกคน โดยไม่ได้กำหนดว่าเป็นหญิงหรือชาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วการแสวงหาความรู้ก็คือ มาตรการของสังคมนั่นเอง
ขณะ เดียวกัน อิสลามไม่ได้กำหนดเวลาสิ้นสุดของการแสวงหาความรู้เอาไว้ ดังคำกล่าวของท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน)ที่ว่า "จงศึกษาตั้งแต่ในเปลนอนจนถึงหลุมฝังศพ"
ทุก ๆ ข้อบังคับในศาสนาจะมีเวลาที่เฉพาะ ซึ่งผู้ที่จะปฏิบัติมีเงื่อนไขอยู่ว่า ต้องบรรลุนิติภาวะตามศาสนบัญญัติ ถ้ามิเช่นนั้นถือว่าไม่เป็นข้อบังคับใด ๆ สำหรับเขา และในบางครั้งกฎและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เป็นข้อบังคับก็ถูกยกเว้นสำหรับเด็ก คนชราและผู้ที่ไร้ความสามารถ แต่สำหรับการแสวงหาความรู้ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งให้เริ่มศึกษาตั้งแต่คลอดออกจากครรภ์ของมารดาเป็นต้นไปจนถึงวันตาย กล่าวคือ การศึกษาหาความรู้เป็นข้อบังคับตลอดอายุไขของตน และทุก ๆ วันต้องมีความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมา ท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) ยังได้กำชับอีกว่า "จงแสวงหาความรู้ไม่ว่ามันจะอยู่ไกลถึงเมืองจีนก็ตาม"
อิส ลามได้แนะนำให้ทำการเรียนรู้ถึงความเร้นลับของการสร้างท้องฟ้า แผ่นดิน ธรรมชาติของมนุษย์ ประวัติศาสตร์ของบรรพชนในอดีต (ปรัชญา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และธรรมชาติวิทยา) และทำการใคร่ครวญให้มาก ขณะเดียวกันต้องเรียนรู้และจดจำจริยธรรมและกฎมายของอิสลาม ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ถึงวิธีการหาปัจจัยเพื่อการดำรงชีพ จะเห็นได้ว่าท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรท่านและครอบครัวของท่าน) ได้ให้ความสำคัญต่อการศึกษาหาความรู้อย่างมากซึ่งในครั้งหนึ่งในสงครามบะดัร บรรดาทหารมุสลิมได้จับพวกปฏิเสธเป็นเชลย ต่อมาท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) ได้สั่งว่า ถ้าพวกศัตรูได้นำเงินมาไถ่ตัวเชลยก็จงรับและปล่อยตัวเขาไป ยกเว้นเชลยที่อ่านออกเขียนได้ ไม่ต้องเสียค่าไถ่ตัว แต่มีเงื่อนไขว่าเชลยหนึ่งคนต้องสอนหนังสือให้กับมุสลิม 10 คน
การ จัดการเรียนการสอนในรูปแบบของชั้นเรียนครั้งนั้น ถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ได้เกิดขึ้นตามคำสั่งของท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) และถือเป็นเกียรติยศอันยิ่งใหญ่สำหรับมุสลิม แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ถือเป็นครั้งแรกและอาจเป็นครั้งสุดท้ายในโลกที่มีการไถ่ตัวเชลยสงคราม ด้วยการเรียนการสอน ซึ่งก่อนหน้าท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) และหลังจากนั้น ไม่ได้มีการทำเช่นนั้นอีกเลย
นัก ประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งบันทึกไว้ว่า มีสตรีคนหนึ่งนามว่า "อัช-ชะฟาอ" ซึ่งได้ทำการเรียนรู้หนังสือก่อนยุคสมัยของอิสลาม และเธอเป็นผู้มาสอนหนังสือให้แก่ภรรยาของท่านศาสดา ณ ที่บ้านของท่าน
3. การให้ความสำคัญต่อการศึกษาในทัศนะอิสลาม
การ ให้ความสำคัญและการเพียรพยายามเพื่อให้ไปถึงยังเป้าหมายทุก ๆ เป้าหมาย มีความพอดีตัว แต่การให้ความสำคัญกับการศึกษาถือว่าสูงส่งและเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาล อิสลาม เป็นศาสนาที่วางอยู่บนธรรมชาติของมนุษย์ ถือว่าการศึกษาเป็นสิ่งมีค่าที่สุด ท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) กล่าวว่า "ผู้ที่กำลังศึกษาหาความรู้ ถือว่าเป็นที่รักยิ่งของอัลลอฮ"
การ ทำสงครามศาสนาถือว่าเป็นหนึ่งในหลักการอิสลาม หากท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) และอิมาม (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ได้ออกคำสั่งเมื่อใดถือเป็นหน้าที่ของมุสลิมทุกคนต้องออกไปสงครามทันที ยกเว้นบุคคลที่กำลังทำการศึกษาหาความรู้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าอิสลามให้ความสำคัญต่อการศึกษาอย่างมาก จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนในสังคมที่ต้องให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้เยาวชน ของตนได้รับการศึกษาสูง อัล-กุรอาน กล่าวว่า "บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลายไม่ควรออกไปทำสงครามพร้อมกันทั้งหมด แต่ควรให้แต่ละกลุ่มส่งคนของตนออกไป เพื่อศึกษาข้อเท็จจริงของศาสนา และเมื่อพวกเขาได้กลับมายังกลุ่มพวกพ้องของตนจะได้สั่งสอนชี้แจงอิสลามแก่ พวกของตน โดยหวังว่าพวกเขาจะได้สังวรตน" (อัล-กุรอาน บท อัต-เตาบะฮ โองการที่ 122)
4. การให้ความสำคัญต่อครู
ครู ถือว่าเป็นศูนย์รวมของความรู้ ที่ได้สั่งสมวิชาการและความรู้จากรัศมีอันมีความประเสริฐ เพื่อขจัดความโง่เขลาชนิดขุดรากถอนโคนให้สิ้นไปจากสังคม ครูเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาการและแสงสว่างแก่ผู้ที่โง่เขลาให้เป็นผู้มี ความรู้ และเฉลียวฉลาด ครูเป็นผู้จุดประกายความรู้ให้สว่างขึ้นเพื่อเป็นประทีปส่องนำทางไปสู่ความ สำเร็จ
จาก ความสำคัญนี้เอง อิสลามจึงกล่าวว่าเป็นข้อบังคับ(วาญิบ) ต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ และถือว่าครู คือ บุคคลที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในสังคม
ท่านอิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า "ใครก็ตามที่ได้สั่งสอนฉัน เท่ากับได้ทำให้ฉันกลายเป็นทาสของเขา"
ท่าน อิมามอะลี (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ได้กล่าวอีกว่า "ประชาชนแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม คือ หนึ่ง ผู้รู้นักปราชญ์ สอง กลุ่มชนที่ได้ทำการศึกษาเพื่อช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นให้รอดปลอดภัย สาม กลุ่มชนที่หลีกเลี่ยงความรู้ ซึ่งพวกเขาไม่ต่างอะไรไปจากตัวเหลือบหรือแมลงวันที่คอยไต่ตอมอยู่ตามหน้าตา ของสัตว์และสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย เมื่อลมพัดโชยมาก็จะถลาไปตามลม หรือเมื่อได้กลิ่นเหม็นโชยมาจากทิศใดก็จะบินไปสู่ทิศนั้น ทำตัวเป็นพวกไม้หลักปักขี้เลน"
5. การให้เกียรติผู้รู้และนักปราชญ์
อัล-กุรอานได้กล่าวถึงตำแหน่งของผู้รู้และนักปราชญ์ผู้ทรงเกียรติไว้ดังนี้ว่า
"อัล ลอฮทรงยกย่องบรรดาผู้ศรัทธาในหมู่สูเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้รับความรู้ไว้ในหลายฐานันดรด้วยกัน (อัล-กุรอาน บท อัล มุญาดะละฮ โองการที่ 11)
ฐานันดร และเกียรติยศที่สูงส่งของผู้รู้และนักปราชญ์ ในทัศนะของผู้นำอิสลาม ท่านได้กล่าวว่า : อัล-กุรอาน กล่าวว่า "บรรดาผู้รู้กับผู้ไม่รู้จะเท่าเทียมกันหรือ แท้จริงผู้ที่มีวิจารณญาณเท่านั้นที่จะสำนึก" (อัล-กุรอาน บท อัชซุมัร โองการที่ 10)
ประเด็น สำคัญจากโองการ คือ ความรู้ในทัศนะของอัล-กุรอาน ไม่ได้หมายถึงความรู้เกี่ยวกับศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงความรู้ของศาสตร์ทุกแขนง อันทำให้มนุษย์เกิดความสว่างไสว และสามารถช่วยเหลือมนุษย์ในภารกิจต่าง ๆ ทั้งโลกนี้และโลกหน้าได้
ตำแหน่ง ของผู้รู้และนักปราชญ์ สูงส่งกว่าตำแหน่งของผู้บำเพ็ญศีลแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่ท่านอิมามมุฮัมมัดบากิร (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) กล่าวว่า "ผู้รู้ที่ใช้ประโยชน์จากความรู้ของตน ประเสริฐกว่าผู้บำเพ็ญศีลถึง 70,000 คน"
มาตรฐาน ของบรรดาอิมาม (ขอความสันติพึงมีแด่ทาน) ที่ใช้วัดบุคลิกภาพและคุณค่าของความเป็นมนุษย์ คือความรู้ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ท่านศาสดา (ขอพระเจ้าทรงประสาทพรแด่ท่านและครอบครัวของท่าน) กล่าวว่า "ผู้ที่มีความรู้ที่สุดในหมู่ของประชาชน คือ ผู้ที่นำเอาประโยชน์จากความรู้ของผู้อื่นมาเสริมความรู้ของตน เพราะคุณค่าของความเป็นมนุษย์ คือ ความรู้ ดังนั้น ผู้ใดมีความรู้มากคุณค่าของเขาย่อมมากตามไปด้วย  ในทางกลับกัน ใครก็ตามมีความรู้น้อย คุณค่าของเขาก็ลดน้อยตามไปลำดับเช่นกัน"
6. หน้าที่ของครูและศิษย์
อัล-กุ รอาน ยกย่องความรู้ว่าเป็นธาตุที่แท้จริงแห่งชีวิต เพราะถ้าไม่มีความรู้ มนุษย์กับสรรพสัตว์และสิ่งอื่น ๆ ก็จะไม่แตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ นักเรียนจะต้องสำนึกตลอดเวลาว่า ผู้เป็นครู คือ ศูนย์กลางแห่งชีวิตของตน เพราะอนาคตที่แท้จริงได้เจริญงอกงามมาจากน้ำมือของผู้เป็นครู ครูจึงเป็นเสมือนชีวิตที่สองของนักเรียน ซึ่งพวกเขามีหน้าที่ให้ความเคารพยกย่องเชิดชูเกียรติยศ และยอมรับคำแนะนำสั่งสอนของครู แม้ว่าในบางครั้งจะแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจก็ตาม นักเรียนต้องไม่แสดงความแข็งกระด้างก้าวร้าว ดูถูกเหยียดหยาม หรือทำลายคุณค่าของความเป็นครูทั้งต่อหน้าและลับหลัง หรือแม้ว่าครูจะล่วงลับไปแล้วก็ตาม
ใน ทำนองเดียวกัน ครูก็ต้องสำนึกเหมือนกันว่า เขาคือผู้รับผิดชอบชะตากรรมและอนาคตของนักเรียน ตราบใดก็ตามที่ครูยังไม่สามารถสอนให้นักเรียนคนหนึ่งยืนอยู่บนเท้าทั้งสอง ข้างแห่งความเป็นมนุษย์ได้ เขาจะต้องไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อย หรือท้อถอยเด็ดขาด แม้ว่าในบางครั้งนักเรียนจะยอมรับคำอบรมสั่งสอนของครูไม่ได้ก็ตาม ครูจะต้องไม่กำลังใจ ถ้าหากมีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในการสั่งสอน ก็จงอย่างแสดงความดีใจอย่างออกหน้าออกตา และครูต้องระมัดระวังตลอดเวลา อย่าให้คำพูดหรือกริยาท่าทางของตนเป็นเหตุทำให้นักเรียนต้องเสียใจ ท้อถอยหรือหมดกำลังใจต่อการศึกษา

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

จริยธรรมอิสลาม



การเตาบัต  

               เมื่อกระทำผิดต่อคำสอนของศาสนา  ผู้กระทำจะต้องทำการขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺทันที เมื่อผู้ใดสำนึกผิดและขออภัยต่ออัลลอฮฺ  พระองค์จะทรงอภัยให้ ทั้งนี้ ถ้าเขาสำนึกผิดด้วยใจจริงและขอลุแก่โทษ  ขออภัยอย่างบริสุทธิ์ใจ  ท่านศาสดาตรัสไว้ความว่า"ผู้ขอลุแก่โทษในความผิดก็เปรียบประดุจผู้ไม่กระทำผิดนั่นเอง"    

                    อันความผิดที่เรากระทำแต่ละครั้งนั้นจะทับถมสร้างความมืดบอดแก่หัวใจของเรา 

ความผิดนั้นจะขับไล่ความดีงามต่างๆ  ออกจากชีวิตของเราจนเมื่อเรากระทำมันติดเป็นนิสัย ก็ยากที่จะถอนตัวออกได้    เช่น  คนเล่นการพนัน   เมื่อแรกเล่น  ก็ยังไม่สู้จะรู้สึกกระไรนัก คิดว่าจะเลิกเมื่อไรก็ได้  แต่ถ้าไม่รีบเลิก  ปล่อยให้ติดเป็นนิสัย  จนผีการพนันเข้าสิง  ก็ยากที่จะเลิกได้ 

                    คนดื่มสุราก็เช่นเดียวกัน  เมื่อติดมันใหม่ ๆ ก็จะประมาท จนปล่อยให้ติดงอมแงมก็เลิกไม่ได้  การละเลิกความชั่วที่ง่ายที่สุดก็คือ รีบเลิกละเสียตั้งแต่ระยะแรก ๆ อย่าปล่อยให้ตกเป็นทาสของมัน 



ลักษณะของความผิด 

   ความผิดแบ่งได้ออกเป็น  2   ประเภท 

                    1.  ความผิดต่ออัลลอฮฺ  หมายถึง  ความผิดในฐานฝ่าฝืนคำสั่งของออัลลอฮฺ แต่ไม่ล่วงอธิปไตยของผู้ใดทั้งสิ้น  เช่น  การละเว้นการละหมาด  เป็นต้น 

                   2.  ความผิดต่อเพื่อนมนุษย์  หมายถึง  ความผิดที่กระทำแก่เพื่อนมนุษย์ เป็นการล่วงอธิปไตย  และสร้างความเดือดร้อน  เช่น  การขโมย  การคดโกง  การนินทา  การใส่ร้าย  เป็นต้น 

                    อันความผิดทั้งสองประเภทนั้นมีหน่วยย่อยของมันอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งในทางกฎหมายของอิสลาม  จะระบุถึงระวางโทษแก่ผู้กระทำผิดโดยแน่ชัด ดังมีรายละเอียดปรากฏในตำราที่ว่าด้วย  หลักกฎหมายอิสลามทั่วไป 



เงื่อนไขในการขอลุแก่โทษ 

    ถ้าความผิด  เป็นความผิดต่ออัลลอฮฺ  การขอลุแก่โทษจะต้องประกอบจากเงื่อนไข   4  ประการ  คือ 

                   1.  รีบถอนตัวออกจากความผิดทันที 

                  2.  มีความเศร้าโศกเสียใจที่ตนได้กระทำผิดนั้น ๆ 

                 3.  ตั้งใจอย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยวว่า  จะไม่ย้อนกลับไปกระทำมันอีกและถ้าเป็นความผิดต่อเพื่อนมนุษย์  จะต้องเพิ่มอีก  1  เงื่อนไข คือ 

                4.  จะต้องนำสิ่งที่ตนทุจริตมาส่งคืนเจ้าของ  หรือขอให้เขายกให้เสีย 



                    การเตาบัตเป็นเรื่องที่มุสลิมที่ต้องการจะกลับตัวมาทำความดี  หลังจากที่เขาได้ทำความชั่วมานาน  การทำความดีนั้นไม่ต้องรอให้อายุมาก  ในวัยหนุ่มสาวก็กลับตัวเป็นคนดีได้  เพราะเขาไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร                    ด้วยเหตุนี้  มุสลิมควรรีบกลับตัวมาทำความดีโดยเร็ว   ก่อนที่ประตูแห่งการเตาบัตจะปิด หากประตูแห่งการเตาบัตปิดลงแล้ว  อัลลอฮฺจะไม่รับการเตาบัตของเขาอีกต่อไป 

                    การขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺต้องทำอย่างจริงจัง  และต้องตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปทำความชั่วอีก  โดยการกล่าวว่า      อัซตัฆฟีรุ้ลลอ....................... เมื่อกล่าวเรียบร้อยแล้ว  ขั้นต่อไปเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการเตาบัต เช่นเรื่องดังต่อไปนี้ 



                   1.  เรื่องการกลับตัวเป็นคนดีที่เกี่ยวกับอัลลอฮฺ  จะต้องเตาบัตตามที่กล่าวข้างต้น    ซึ่งเป็นเรื่องที่อัลลอฮฺทรงใช้ให้ทำเช่น  การละหมาด  การถือศีลอด   การบริจาคซะกาต  การทำฮัจย์  เป็นต้น 

                    2.  เรื่องที่อัลลอฮฺทรงห้ามเช่น  การดื่มสุรา  การเสพยาเสพย์ติด หรือทุกสิ่งที่ทำให้มึนเมาและขาดสติ  การทำซินา  เป็นต้น    สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิของอัลลอฮฺที่อาจจะยกโทษให้  เรียกว่า  "ฮักกุ้ลลอฮฺ"  

เขาจะต้องขออภัยโษต่ออัลลอฮฺ 

                   3.  เรื่องการลักขโมย  ตีชิง  วิ่งราว  ปล้น  การยักยอก  การฉ้อโกงทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน  โดยที่เจ้าของไม่ได้ยินยอม     สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิของมนุษย์ด้วยกัน   เรียกว่า  "ฮักกุ้ลอาดัม"  

อัลลอฮฺทรงห้ามเด็ดขาด  ถ้าจะขอให้ยกโทษให้ไปขอที่เจ้าของทรัพย์ที่ไปเอาของเขามาโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม  ถ้าเจ้าของไม่ยอมยกโทษให้ก็จะติดตัวไปจนกระทั่งถึงวันที่สอบสวนบุญและบาป  เขาจะถูกลงโทษโดยการกระทำดังกล่าวข้างต้น   แต่ถ้าเจ้าของยอมยกโทษให้ ก็เป็นอันหลุดพ้นจากการถูกลงโทษ 

                 4.  เรื่องการให้ร้ายป้ายสีระหว่างมนุษย์ด้วยกันเช่น  การนินทา  ซึ่งเกิดจากความอิจฉาริษยา  โดยผู้ที่ถูกให้ร้ายนั้นไม่รู้ตัวมาก่อน  ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเสียหาย  ยากที่จะแก้คืนมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิของมนุษย์ด้วยกัน   เรียกว่า  "ฮักกุ้ลอาดัม"   เขาจะต้องขอโทษจากผู้ที่ทถูกใส่ร้ายโดยตรง  จะขอโทษจากอัลลอฮฺไม่ได้  เมื่อผู้ถูกใส่ร้ายยอมยกโทษให้จึงจะพ้นโทษ 

                    การเตาบัตตัวโดยการตั้งใจจะไปทำฮัจย์  โดยตั้งใจไว้ว่า  ถ้ากลับมาแล้วจะละทิ้งการกระทำความชั่วต่าง ๆ   ที่เคยทำมาจะไม่กลับไปทำอีก  จะตั้งหน้าทำความดี  ขอกลับตัวเป็นคนดีในสังคมมุสลิมคนหนึ่งจนกว่าจะตาย  เมื่อเขาตั้งใจดังนี้เขาก็เตรียมตัวไปทำฮัจย์  เขาจะต้องไปขอยกโทษในสิ่งที่เขาได้  กระทำลงไปไม่ว่ากริยา  วาจา  จิตใจ  ขอให้ผู้นั้นยกให้ด้วย 

                    หลังจากที่เขาไปและกลับจากทำฮัจย์แล้ว  และเขาขอเตาบัตจากอัลลอฮฺแล้ว เมื่อพระองค์ทรงรับการเตาบัตแล้ว  จะสังเกตได้จากการที่เขากลับถึงบ้านเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนดีโดยทันที  แสดงให้เห็นว่าอัลลอฮฺทรงรับการเตาบัตของเขา  และเขาก็จะได้ฮัจย์ที่มับรู๊ร  (ที่ถูกรับรอง)  กลับมา                     

                    ต่อไปนี้คือสัญลักษณ์ที่ว่าไกล้จะถึงวันกิยามะฮฺ  ซึ่งจะมาถึงเมื่อใดก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ได้ดีนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น 



สัญลักษณ์ที่ใกล้จะถึงวันกิยามะฮฺ 

                   1.  มนุษย์จะเสื่อมการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ 

                    2.  คนที่ไม่มีความรู้หรือคนชั่วจะได้รับตำแหน่งที่มีเกียรติ 

                    3.  มนุษย์จะมัวเมาต่อกามารมณ์ทั่ว ๆ ไป 

                    4.  จะมีการจราจลวุ่นวายตามเมืองต่างๆ 

                    5.  มุษย์จะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก 

                    6.  จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถพูดภาษาคนได้ 



ลักษณะที่เป็นจุดใหญ่ทีใกล้วันกิยามะฮฺ 

                    1.  ดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนทิศทางขึ้นโดยมาขึ้นทางทิศตะวันตก 

                    2.  ดัตย้าล  "สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะปรากฎขึ้น"  มันจะล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิด 

                    3.  ท่านนบีอีซาจะกลับมาสู่โลก  โดยจะชี้นำตามแนวทางของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) 

                    4.  จะมียะฮฺยูดกับมะฮฺยูดมารังควาญผู้ที่ศรัทธา  จนกระทั่งท่านนบีอีซาขอต่ออัลลอฮฺให้ทำลายพวกมัน 

                    5.  อิหม่ามมะฮฺดีเกิดขึ้นมา  ท่านผู้นี้มีชื่อเดียวกับท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.)  ซึ่งบิดาของท่านชื่อเดียวกับท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.)   และเป็นชาวอาหรับเหมือนกัน ท่านเป็นผู้นำความสงบสุขมาสู่ผู้คน     



จรรยามารยาทในการแต่งกาย  

จรรยามารยาทในการแต่งกาย
                    การแต่งกาย
ไม่เพียงแต่จะมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องร่างกายของมนุษย์ให้พ้นจากสิ่งสกปรก แสงแดด และลมฟ้าอากาศเท่านั้น แต่การแต่งกายยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรม ศีลธรรม
และรสนิยมของผู้สวมใส่ด้วย                   ในอิสลาม วัตถุประสงค์สำคัญของการแต่งกายคือ การปกปิดสิ่งพึงละอายของร่างกาย โดยเฉพาะร่างกายของผู้หญิง ทั้งนี้เพื่อที่จะไม่ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของเรือนร่างเพศหญิงกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นมาในสังคม ดังนั้น อิสลามจึงได้วางหลักเกณฑ์ในการแต่งกายสำหรับมุสลิมไว้ดังนี้ :-
                   1. เสื้อผ้าจะต้องสะอาด ประณีต เรียบร้อย ดูสวยงามเหมาะสมกับบุคลิกภาพ การดำรงตนสมถะหรือการเคร่งครัดในศาสนาไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ดูซอมซ่อเพื่อให้คนอื่นดูว่าตัวเองไม่ใส่ใจใยดีต่อโลก อย่าแต่งกายให้คนอื่นดูถูกหรือมองเห็นเราเป็นตัวตลก
                   2.  อิสลามไม่ห้ามการแต่งการด้วยเสื้อผ้าที่ดีมีราคาถ้าหากว่าฐานะทางเศรษฐกิจเอื้ออำนวย และต้องการแสดงออกให้เห็นว่าตนได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกัน อิสลามก็ห้ามการแต่งกาย โดยมีเจตนาที่จะโอ้อวดถึงความมั่งคั่ง และความทะนงตนว่าเหนือกว่าคนอื่น
                     3.  เสื้อผ้าต้องปกปิดสิ่งพึงละอายของผู้สวมใส่ สำหรับผู้หญิงนั้นสิ่งที่พึงปกปิด
(เอาเราะฮ) ก็คือทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนเอาเราะฮของผู้ชายนั้นคือบริเวณตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า
                     คัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่า
"ลูก ๆ ของอาดัมเอ๋ย เราได้ประทานเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้แก่สูเจ้าเพื่อปกปิดส่วนที่พึงละอายของสูเจ้าและเพื่อเป็นสิ่งคุ้มครองและเครื่องประดับ แต่อาภรณ์แห่งการสำรวมตนนั้นเป็นอาภรณ์ที่ดีที่สุด นี่เป็นส่วนหนึ่งในสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ เพื่อเขาจะได้รำลึก" (กุรอาน )

                        4. ดังนั้น เพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าวมาข้างต้น ผู้หญิงมุสลิมจะต้องไม่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่รัดรูปแนบเนื้อ หรือเสื้อผ้าที่โปร่งบางหรือมีรูที่ทำให้มองเห็นผิวหนังหรือเรือนร่างภายใน


                   5. ผู้ชายจะต้องไม่ใส่เสื้อผ้าหรือแต่งกายเลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงจะต้องไม่ใส่เสื้อผ้าหรือแต่งกายเลียนแบบผู้ชาย ทั้งนี้เพื่อดำรงรักษาบุคลิกและเอกลักษณ์แห่งเพศของตัวเองไว้ ท่านศาสดามุฮัมมัดได้สาปแช่งคนที่แต่งกายเลียนแบบของเพศตรงข้าม
                    6. อิสลามห้ามมุสลิมชายสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดมาจากผ้าไหมและสวมใส่เครื่องประดับทองคำ ทั้งนี้เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะสมที่จะเป็นอาภรณ์และเครื่องประดับของผู้หญิง
                    7. อิสลามห้ามหญิงมุสลิมใส่น้ำหอมออกนอกบ้าน เพราะไม่ต้องการให้กลิ่นน้ำหอมไปกระตุ้นความรู้สึกของเพศตรงข้าม แต่ขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้ผู้หญิงโดยเฉพาะภรรยาใส่น้ำหอมและแต่งกายให้สะอาดสวยงามเมื่ออยู่กับสามี
                    8. หวีผมให้เรียบร้อยและอย่าปล่อยให้ผมกระเซิง
                    9. ก่อนจะสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้า ให้สะบัดหรือเคาะเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้แมลงหรือสัตว์อันตรายที่อาจอาศัยหรือติดอยู่ในเสื้อผ้าและรองเท้าหลุดไป และเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าหรือรองเท้า ให้เริ่มใส่ทางข้างขวาก่อน
                   10. หลีกเลี่ยงการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด หรือแต่งกายเลียนแบบนักบวชหรือนักพรต
                   11. ให้เสื้อผ้าแก่คนยากจนบ้าง เพื่อเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮที่ทรงโปรดปรานให้เราได้มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า
"ใครที่ให้เสื้อผ้าแก่มุสลิมสวมใส่ร่างกายของเขา อัลลอฮจะให้เขาได้สวมใส่เสื้อผ้าสีเขียวแห่งสวรรค์ในวันแห่งการพิพากษา"
12. ให้เสื้อผ้าที่ดีตามสถานภาพของท่านเองแก่คนรับใช้หรือบ่าวที่ทำหน้าที่รับใช้ท่านมาตลอดทั้งวัน
           ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า "บ่าวทั้งชายและหญิง คือ พี่น้องของท่าน อัลลอฮได้ทรงมอบพวกเขาให้อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของท่าน ดังนั้น ใครก็ตามที่อัลลอฮได้ทรงมอบอำนาจและการควบคุมบุคคลอื่นให้ เขาก็จะต้องให้ผู้อยู่ใต้อำนาจของเขาได้กินและได้สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนที่เขาเองสวมใส่ และจะต้องไม่ให้เขาทำงานเกินความสามารถ   และถ้าหากบ่าวไม่สามารถทำงานที่หนักเกินได้ ผู้เป็นนายก็จะต้องมาให้ความช่วยเหลือด้วย"
                                

rusdeesah