จริยธรรมอิสลาม
การเตาบัต
เมื่อกระทำผิดต่อคำสอนของศาสนา ผู้กระทำจะต้องทำการขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺทันที เมื่อผู้ใดสำนึกผิดและขออภัยต่ออัลลอฮฺ พระองค์จะทรงอภัยให้ ทั้งนี้ ถ้าเขาสำนึกผิดด้วยใจจริงและขอลุแก่โทษ ขออภัยอย่างบริสุทธิ์ใจ ท่านศาสดาตรัสไว้ความว่า"ผู้ขอลุแก่โทษในความผิดก็เปรียบประดุจผู้ไม่กระทำผิดนั่นเอง"
อันความผิดที่เรากระทำแต่ละครั้งนั้นจะทับถมสร้างความมืดบอดแก่หัวใจของเรา
ความผิดนั้นจะขับไล่ความดีงามต่างๆ ออกจากชีวิตของเราจนเมื่อเรากระทำมันติดเป็นนิสัย ก็ยากที่จะถอนตัวออกได้ เช่น คนเล่นการพนัน เมื่อแรกเล่น ก็ยังไม่สู้จะรู้สึกกระไรนัก คิดว่าจะเลิกเมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าไม่รีบเลิก ปล่อยให้ติดเป็นนิสัย จนผีการพนันเข้าสิง ก็ยากที่จะเลิกได้
คนดื่มสุราก็เช่นเดียวกัน เมื่อติดมันใหม่ ๆ ก็จะประมาท จนปล่อยให้ติดงอมแงมก็เลิกไม่ได้ การละเลิกความชั่วที่ง่ายที่สุดก็คือ รีบเลิกละเสียตั้งแต่ระยะแรก ๆ อย่าปล่อยให้ตกเป็นทาสของมัน
ลักษณะของความผิด
ความผิดแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท
1. ความผิดต่ออัลลอฮฺ หมายถึง ความผิดในฐานฝ่าฝืนคำสั่งของออัลลอฮฺ แต่ไม่ล่วงอธิปไตยของผู้ใดทั้งสิ้น เช่น การละเว้นการละหมาด เป็นต้น
2. ความผิดต่อเพื่อนมนุษย์ หมายถึง ความผิดที่กระทำแก่เพื่อนมนุษย์ เป็นการล่วงอธิปไตย และสร้างความเดือดร้อน เช่น การขโมย การคดโกง การนินทา การใส่ร้าย เป็นต้น
อันความผิดทั้งสองประเภทนั้นมีหน่วยย่อยของมันอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งในทางกฎหมายของอิสลาม จะระบุถึงระวางโทษแก่ผู้กระทำผิดโดยแน่ชัด ดังมีรายละเอียดปรากฏในตำราที่ว่าด้วย หลักกฎหมายอิสลามทั่วไป
เงื่อนไขในการขอลุแก่โทษ
ถ้าความผิด เป็นความผิดต่ออัลลอฮฺ การขอลุแก่โทษจะต้องประกอบจากเงื่อนไข 4 ประการ คือ
1. รีบถอนตัวออกจากความผิดทันที
2. มีความเศร้าโศกเสียใจที่ตนได้กระทำผิดนั้น ๆ
3. ตั้งใจอย่างมั่นคงและเด็ดเดี่ยวว่า จะไม่ย้อนกลับไปกระทำมันอีกและถ้าเป็นความผิดต่อเพื่อนมนุษย์ จะต้องเพิ่มอีก 1 เงื่อนไข คือ
4. จะต้องนำสิ่งที่ตนทุจริตมาส่งคืนเจ้าของ หรือขอให้เขายกให้เสีย
การเตาบัตเป็นเรื่องที่มุสลิมที่ต้องการจะกลับตัวมาทำความดี หลังจากที่เขาได้ทำความชั่วมานาน การทำความดีนั้นไม่ต้องรอให้อายุมาก ในวัยหนุ่มสาวก็กลับตัวเป็นคนดีได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร ด้วยเหตุนี้ มุสลิมควรรีบกลับตัวมาทำความดีโดยเร็ว ก่อนที่ประตูแห่งการเตาบัตจะปิด หากประตูแห่งการเตาบัตปิดลงแล้ว อัลลอฮฺจะไม่รับการเตาบัตของเขาอีกต่อไป
การขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺต้องทำอย่างจริงจัง และต้องตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กลับไปทำความชั่วอีก โดยการกล่าวว่า อัซตัฆฟีรุ้ลลอ....................... เมื่อกล่าวเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปเขาจะต้องเรียนรู้วิธีการเตาบัต เช่นเรื่องดังต่อไปนี้
1. เรื่องการกลับตัวเป็นคนดีที่เกี่ยวกับอัลลอฮฺ จะต้องเตาบัตตามที่กล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่อัลลอฮฺทรงใช้ให้ทำเช่น การละหมาด การถือศีลอด การบริจาคซะกาต การทำฮัจย์ เป็นต้น
2. เรื่องที่อัลลอฮฺทรงห้ามเช่น การดื่มสุรา การเสพยาเสพย์ติด หรือทุกสิ่งที่ทำให้มึนเมาและขาดสติ การทำซินา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิของอัลลอฮฺที่อาจจะยกโทษให้ เรียกว่า "ฮักกุ้ลลอฮฺ"
เขาจะต้องขออภัยโษต่ออัลลอฮฺ
3. เรื่องการลักขโมย ตีชิง วิ่งราว ปล้น การยักยอก การฉ้อโกงทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน โดยที่เจ้าของไม่ได้ยินยอม สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิของมนุษย์ด้วยกัน เรียกว่า "ฮักกุ้ลอาดัม"
อัลลอฮฺทรงห้ามเด็ดขาด ถ้าจะขอให้ยกโทษให้ไปขอที่เจ้าของทรัพย์ที่ไปเอาของเขามาโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม ถ้าเจ้าของไม่ยอมยกโทษให้ก็จะติดตัวไปจนกระทั่งถึงวันที่สอบสวนบุญและบาป เขาจะถูกลงโทษโดยการกระทำดังกล่าวข้างต้น แต่ถ้าเจ้าของยอมยกโทษให้ ก็เป็นอันหลุดพ้นจากการถูกลงโทษ
4. เรื่องการให้ร้ายป้ายสีระหว่างมนุษย์ด้วยกันเช่น การนินทา ซึ่งเกิดจากความอิจฉาริษยา โดยผู้ที่ถูกให้ร้ายนั้นไม่รู้ตัวมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เขาเสียหาย ยากที่จะแก้คืนมาได้ในเวลาอันรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิของมนุษย์ด้วยกัน เรียกว่า "ฮักกุ้ลอาดัม" เขาจะต้องขอโทษจากผู้ที่ทถูกใส่ร้ายโดยตรง จะขอโทษจากอัลลอฮฺไม่ได้ เมื่อผู้ถูกใส่ร้ายยอมยกโทษให้จึงจะพ้นโทษ
การเตาบัตตัวโดยการตั้งใจจะไปทำฮัจย์ โดยตั้งใจไว้ว่า ถ้ากลับมาแล้วจะละทิ้งการกระทำความชั่วต่าง ๆ ที่เคยทำมาจะไม่กลับไปทำอีก จะตั้งหน้าทำความดี ขอกลับตัวเป็นคนดีในสังคมมุสลิมคนหนึ่งจนกว่าจะตาย เมื่อเขาตั้งใจดังนี้เขาก็เตรียมตัวไปทำฮัจย์ เขาจะต้องไปขอยกโทษในสิ่งที่เขาได้ กระทำลงไปไม่ว่ากริยา วาจา จิตใจ ขอให้ผู้นั้นยกให้ด้วย
หลังจากที่เขาไปและกลับจากทำฮัจย์แล้ว และเขาขอเตาบัตจากอัลลอฮฺแล้ว เมื่อพระองค์ทรงรับการเตาบัตแล้ว จะสังเกตได้จากการที่เขากลับถึงบ้านเขาจะเปลี่ยนไปเป็นคนดีโดยทันที แสดงให้เห็นว่าอัลลอฮฺทรงรับการเตาบัตของเขา และเขาก็จะได้ฮัจย์ที่มับรู๊ร (ที่ถูกรับรอง) กลับมา
ต่อไปนี้คือสัญลักษณ์ที่ว่าไกล้จะถึงวันกิยามะฮฺ ซึ่งจะมาถึงเมื่อใดก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ได้ดีนอกจากอัลลอฮฺเท่านั้น
สัญลักษณ์ที่ใกล้จะถึงวันกิยามะฮฺ
1. มนุษย์จะเสื่อมการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ
2. คนที่ไม่มีความรู้หรือคนชั่วจะได้รับตำแหน่งที่มีเกียรติ
3. มนุษย์จะมัวเมาต่อกามารมณ์ทั่ว ๆ ไป
4. จะมีการจราจลวุ่นวายตามเมืองต่างๆ
5. มุษย์จะประสบกับความทุกข์ยากลำบาก
6. จะมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถพูดภาษาคนได้
ลักษณะที่เป็นจุดใหญ่ทีใกล้วันกิยามะฮฺ
1. ดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนทิศทางขึ้นโดยมาขึ้นทางทิศตะวันตก
2. ดัตย้าล "สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจะปรากฎขึ้น" มันจะล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิด
3. ท่านนบีอีซาจะกลับมาสู่โลก โดยจะชี้นำตามแนวทางของท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.)
4. จะมียะฮฺยูดกับมะฮฺยูดมารังควาญผู้ที่ศรัทธา จนกระทั่งท่านนบีอีซาขอต่ออัลลอฮฺให้ทำลายพวกมัน
5. อิหม่ามมะฮฺดีเกิดขึ้นมา ท่านผู้นี้มีชื่อเดียวกับท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) ซึ่งบิดาของท่านชื่อเดียวกับท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) และเป็นชาวอาหรับเหมือนกัน ท่านเป็นผู้นำความสงบสุขมาสู่ผู้คน
จรรยามารยาทในการแต่งกาย
จรรยามารยาทในการแต่งกาย
การแต่งกาย ไม่เพียงแต่จะมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องร่างกายของมนุษย์ให้พ้นจากสิ่งสกปรก แสงแดด และลมฟ้าอากาศเท่านั้น แต่การแต่งกายยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงวัฒนธรรม ศีลธรรม และรสนิยมของผู้สวมใส่ด้วย ในอิสลาม วัตถุประสงค์สำคัญของการแต่งกายคือ การปกปิดสิ่งพึงละอายของร่างกาย โดยเฉพาะร่างกายของผู้หญิง ทั้งนี้เพื่อที่จะไม่ให้ส่วนหนึ่งส่วนใดของเรือนร่างเพศหญิงกระตุ้นอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นมาในสังคม ดังนั้น อิสลามจึงได้วางหลักเกณฑ์ในการแต่งกายสำหรับมุสลิมไว้ดังนี้ :-
1. เสื้อผ้าจะต้องสะอาด ประณีต เรียบร้อย ดูสวยงามเหมาะสมกับบุคลิกภาพ การดำรงตนสมถะหรือการเคร่งครัดในศาสนาไม่จำเป็นต้องหมายถึงการใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ดูซอมซ่อเพื่อให้คนอื่นดูว่าตัวเองไม่ใส่ใจใยดีต่อโลก อย่าแต่งกายให้คนอื่นดูถูกหรือมองเห็นเราเป็นตัวตลก
2. อิสลามไม่ห้ามการแต่งการด้วยเสื้อผ้าที่ดีมีราคาถ้าหากว่าฐานะทางเศรษฐกิจเอื้ออำนวย และต้องการแสดงออกให้เห็นว่าตนได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกัน อิสลามก็ห้ามการแต่งกาย โดยมีเจตนาที่จะโอ้อวดถึงความมั่งคั่ง และความทะนงตนว่าเหนือกว่าคนอื่น
3. เสื้อผ้าต้องปกปิดสิ่งพึงละอายของผู้สวมใส่ สำหรับผู้หญิงนั้นสิ่งที่พึงปกปิด (เอาเราะฮ) ก็คือทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นใบหน้าและฝ่ามือ ส่วนเอาเราะฮของผู้ชายนั้นคือบริเวณตั้งแต่สะดือถึงหัวเข่า
คัมภีร์กุรอานได้กล่าวว่า "ลูก ๆ ของอาดัมเอ๋ย เราได้ประทานเสื้อผ้าอาภรณ์มาให้แก่สูเจ้าเพื่อปกปิดส่วนที่พึงละอายของสูเจ้าและเพื่อเป็นสิ่งคุ้มครองและเครื่องประดับ แต่อาภรณ์แห่งการสำรวมตนนั้นเป็นอาภรณ์ที่ดีที่สุด นี่เป็นส่วนหนึ่งในสัญญาณทั้งหลายของอัลลอฮ เพื่อเขาจะได้รำลึก" (กุรอาน )
4. ดังนั้น เพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ดังกล่าวมาข้างต้น ผู้หญิงมุสลิมจะต้องไม่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่รัดรูปแนบเนื้อ หรือเสื้อผ้าที่โปร่งบางหรือมีรูที่ทำให้มองเห็นผิวหนังหรือเรือนร่างภายใน
5. ผู้ชายจะต้องไม่ใส่เสื้อผ้าหรือแต่งกายเลียนแบบผู้หญิง และผู้หญิงจะต้องไม่ใส่เสื้อผ้าหรือแต่งกายเลียนแบบผู้ชาย ทั้งนี้เพื่อดำรงรักษาบุคลิกและเอกลักษณ์แห่งเพศของตัวเองไว้ ท่านศาสดามุฮัมมัดได้สาปแช่งคนที่แต่งกายเลียนแบบของเพศตรงข้าม
6. อิสลามห้ามมุสลิมชายสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดมาจากผ้าไหมและสวมใส่เครื่องประดับทองคำ ทั้งนี้เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เหมาะสมที่จะเป็นอาภรณ์และเครื่องประดับของผู้หญิง
7. อิสลามห้ามหญิงมุสลิมใส่น้ำหอมออกนอกบ้าน เพราะไม่ต้องการให้กลิ่นน้ำหอมไปกระตุ้นความรู้สึกของเพศตรงข้าม แต่ขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้ผู้หญิงโดยเฉพาะภรรยาใส่น้ำหอมและแต่งกายให้สะอาดสวยงามเมื่ออยู่กับสามี
8. หวีผมให้เรียบร้อยและอย่าปล่อยให้ผมกระเซิง
9. ก่อนจะสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้า ให้สะบัดหรือเคาะเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้แมลงหรือสัตว์อันตรายที่อาจอาศัยหรือติดอยู่ในเสื้อผ้าและรองเท้าหลุดไป และเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าหรือรองเท้า ให้เริ่มใส่ทางข้างขวาก่อน
10. หลีกเลี่ยงการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีฉูดฉาด หรือแต่งกายเลียนแบบนักบวชหรือนักพรต
11. ให้เสื้อผ้าแก่คนยากจนบ้าง เพื่อเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮที่ทรงโปรดปรานให้เราได้มีเสื้อผ้าสวมใส่ ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า "ใครที่ให้เสื้อผ้าแก่มุสลิมสวมใส่ร่างกายของเขา อัลลอฮจะให้เขาได้สวมใส่เสื้อผ้าสีเขียวแห่งสวรรค์ในวันแห่งการพิพากษา"
12. ให้เสื้อผ้าที่ดีตามสถานภาพของท่านเองแก่คนรับใช้หรือบ่าวที่ทำหน้าที่รับใช้ท่านมาตลอดทั้งวัน
ท่านศาสดามุฮัมมัดได้กล่าวว่า "บ่าวทั้งชายและหญิง คือ พี่น้องของท่าน อัลลอฮได้ทรงมอบพวกเขาให้อยู่ภายใต้การรับผิดชอบของท่าน ดังนั้น ใครก็ตามที่อัลลอฮได้ทรงมอบอำนาจและการควบคุมบุคคลอื่นให้ เขาก็จะต้องให้ผู้อยู่ใต้อำนาจของเขาได้กินและได้สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนที่เขาเองสวมใส่ และจะต้องไม่ให้เขาทำงานเกินความสามารถ และถ้าหากบ่าวไม่สามารถทำงานที่หนักเกินได้ ผู้เป็นนายก็จะต้องมาให้ความช่วยเหลือด้วย"
rusdeesah
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น